วิกฤตฝุ่น PM 2.5 กลับมาแล้ว! เตรียมตัวรับมืออย่างไร
ไม่น่าเชื่อว่าในขณะที่เราต้องล้มลุกคลุกคลานกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เหมือนกับว่ากำลังบรรเทาลงไป แต่ใครจะนึกว่าปัญหาฝุ่นควันพิษ PM 2.5 นั้นย้อนกลับมาหาเราคนไทยอีกครั้ง และเหมือนคราวนี้จะดูเป็นวิกฤติการณ์ที่รุนแรงกว่าในปี 2564 ที่ผ่านมา ตื่นเช้ามาเราจะมองเห็นฝุ่นฟุ้งกระจายอย่างหนักไปทั่วกรุงเทพฯ และทั่วประเทศ ฝุ่นพิษ PM 2.5 ไม่ได้หายไปไหน มาคราวนี้สร้างมลภาวะให้กับเราคนไทยกันตั้งแต่ต้นปี Central Inspirer จึงอยากให้ทุกคนระวังกว่าเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา
ทำไม PM 2.5 ถึงกลับมาในช่วงนี้
คุณรู้สึกสงสัยมั้ยว่าทำไมปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 มักเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาว ทำไมช่วงนี้ของปีเราจึงต้องประสบกับปัญหามลภาวะทางอากาศนี้ แล้วดูจะมีความรุนแรงกว่าหลายปีที่ผ่านมา
ตามปกติในช่วงฤดูหนาว เมื่อความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นแผ่ลงมาปกคลุม อุณหภูมิของพื้นดินจะเย็นลงตามไปด้วย ทำให้พื้นดินเกิดการคายความร้อนอย่างรวดเร็วกว่าปกติ ความร้อนที่ถูกคายออกมานั้นจะถูกกักอยู่ระหว่างมวลอากาศเย็นและพื้นดินที่เย็น หรือที่เรียกกันว่า ‘อากาศปิด’ ซึ่งฝุ่นละอองในอากาศก็จะถูกกักอยู่ในนั้นด้วยและไหลย้อนกลับสู่พื้นดิน โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองที่มีฝุ่นละอองในอากาศเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว และมีตึกสูงรายล้อม อากาศปิดจึงส่งผลต่อสุขภาพของผู้คนในเมืองได้ง่าย ปีนี้ยิ่งรุนแรงกว่าทำให้เราต้องระมัดระวังและดูแลตัวเองมากกว่าเคย
ฝุ่นพิษ PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะกับคนที่มีโรคประจำตัว สามารถก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ และโรคปอดต่างๆ ทําให้การทํางานของปอดเสื่อมประสิทธิภาพลง หลอดลมอักเสบ มีอาการหอบหืด โรคภูมิแพ้ รวมทั้งอาจเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปอด โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดในสมอง และโถุงลมโป่งพองได้อีกด้วย
ล่าสุด! ค่าฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพฯ ครองอันดับ 7 ของโลก
จากข้อมูลของ IQAir หรือ หน่วยงานด้านเทคโนโลยีคุณภาพอากาศของสวิตเซอร์แลนด์ ผู้เชี่ยวชาญในการป้องกันมลพิษในอากาศ และผู้กำหนดดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) หรือการวัดความเข้มข้นของมลพิษทางอากาศในมลพิษทางอากาศโดยรอบและความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เกี่ยวข้องได้อัพเดทสภาพอากาศและสถานการณ์ PM 2.5 พบว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีมลพิษทางอากาศสูงเป็นอันดับ 7 ของโลก ดัชนีคุณภาพอากาศอยู่ที่ 183 AQI ในขณะที่ จ.เชียงใหม่ รั้งอันดับ 13 ของโลก ดัชนีคุณภาพอากาศของสถานีตรวจวัดของกรุงเทพมหานคร พบว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับคุณภาพอากาศเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ และคาดว่าอัตราการระบายอากาศในช่วงนี้จะไม่ดีขึ้น เนื่องจากเพดานอากาศต่ำ เกิดสภาวะอากาศปิดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดการสะสมของฝุ่นละออง PM 2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ด้วยสาเหตุนี้ รัฐบาลจึงแนะนำให้ประชาชนวางแผนการทำงาน การทำกิจกรรมโดยเฉพาะในพื้นที่ที่คุณภาพอากาศอยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ/มีผลกระทบต่อสุขภาพ ควรลดระยะเวลา หรืองดการทำกิจกรรมกลางแจ้ง
ไอเทมที่ขาดไม่ได้เพื่อให้ปอดของคุณไม่ถูกทำลายจากฝุ่นพิษ PM 2.5
1. หน้ากากอนามัยมาตรฐาน N95
ไอเทมที่สำคัญที่สุด และขาดไม่ได้ในขณะนี้คือ หน้ากากอนามัย เพราะเป็นด่านแรกที่ช่วยป้องกันเราจากฝุ่นพิษ PM 2.5 และมลภาวะทางอากาศอื่นๆ โดยหน้ากากกันฝุ่นนั้น ควรเลือกเป็นหน้ากากประเภท N95 เพราะสามารถกรองฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถป้องกันฝุ่นพิษได้สูงกว่าหน้ากากอนามัยโดยทั่วไป โดยสามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กมากถึงขนาด 0.3 ไมโครเมตร ได้มากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ ควรเลือกซื้อหน้ากากที่มีขนาดเหมาะสมกับรูปหน้ามากที่สุด มีไอเท็มหน้ากากอนามัยที่อยากแนะนำดังนี้
2. เครื่องฟอกอากาศ
เครื่องฟอกอากาศ หรือ Air Purifier ที่สามารถรับมือกับ PM 2.5 ได้ควรเป็นเครื่องกรองอากาศที่มีแผ่นกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพในการช่วยกรองฝุ่นขนาดเล็กมากๆ เช่น ฝุ่นขนาด 2.5 ไมครอน หรือฝุ่น PM2.5 โดยแผ่นกรองอากาศ หรือแผ่นฟิวเตอร์ HEPA Filter (High Efficiency Particulate Air) ซึ่งผลิตมาจากเส้นใยไฟเบอร์กลาส เป็นแผ่นกรองที่นิยมใช้ในกันในเครื่องฟอกอากาศหลากหลายแบรนด์ เพราะสามารถช่วยกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ดีที่สุด ดังนั้น ในช่วงที่ฝุ่น PM 2.5 กำลังคุมคามชีวิตของเราอยู่ในขณะนี้ ทุกบ้านควรมีเครื่องฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพในการกรางฝุ่นพิษ PM 2.5 ใช้ที่บ้าน รวมทั้งเครื่องฟอกอากาศมีแบบพกพาที่ไม่ว่าจะออกไปไหน เราสามารถฟอกอากาศให้เราหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ปอดได้ดีขี้น
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก https://www.central.co.th/e-shopping/pm-2-5-is-back-we-have-to-be-more-careful