ต้อนรับสู่วัน "สงกรานต์" หรือวันปีใหม่ไทยที่ปีนี้ไม่สนุกเหมือนทุกปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุโรคระบาด "โควิด-19" ที่แพร่กระจายไปทั่วโลก มนุษย์ต้องหยุดทุกกิจกรรม ประเพณี หรือเทศกาลที่มีลักษณะการรวมกลุ่มฝูงชนจำนวนมากเพื่อควบคุมการระบาดนี้ให้ได้ แต่ไหนๆ ก็มาถึงวัน "สงกรานต์ 2563" ทั้งที (แม้จะไม่ได้สาดน้ำหรือฉลองปีใหม่ก็ตาม) วันนี้จะชวนคนไทยมารู้จัก 3 วันสำคัญในช่วงเทศกาลสงกรานต์กันหน่อยดีกว่า
วันสงกรานต์ ถือเป็นประเพณีวันขึ้นปีใหม่ของไทยมาแต่โบราณ คำว่า “สงกรานต์” มาจากภาษาสันสกฤตว่า “สํ-กรานต” ซึ่งแปลว่า ก้าวขึ้น ย่างขึ้น หรือย้ายขึ้น มีนัยยะหมายถึงการเข้าสู่ศักราชราศีใหม่หรือวันขึ้นปีใหม่นั้นเอง โดยเทศกาล “สงกรานต์” นั้นเป็นประเพณีที่มีความเก่าแก่และถูกสืบทอดกันมานานตั้งแต่โบราณ ในยุคแรกๆ คนไทยโบราณจะถือเอาวันขึ้น 1 ค่ำ เดือนอ้าย ซึ่งจะตรงในช่วงเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม ให้เป็นวันขึ้นปีใหม่
แต่ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการเปลี่ยนมากำหนดใหม่ โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ผ่านมาจนถึงยุคสมัยของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ. 2483) ได้เปลี่ยนวันปีใหม่ให้เป็นวันสากล คือ วันที่ 1 มกราคม แต่ถึงอย่างไร คนโบราณก็ยังคงคุ้นเคยกับวันปีใหม่ไทยในเดือนเมษายน จึงได้กำหนดให้วันที่ 13 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ไทยหรือวัน “สงกรานต์” ร่วมด้วย โดยมีวันสำคัญต่างๆ ที่พ่วงมาด้วยในช่วงวันที่ 13-14-15 เมษายน คือ วันมหาสงกรานต์ วันผู้สูงอายุ วันครอบครัว และวันเถลิงศก
เทศกาล “สงกรานต์” เป็นประเภณีที่งดงาม อ่อนโยน เอื้ออาทร และเต็มไปด้วยบรรยากาศของความกตัญญู ความสนุกสนาน ความอบอุ่น และการแสดงความเคารพซึ่งกันและกัน โดยใช้ "น้ำ" เป็นสื่อในการแสดงความรักความกตัญญูของลูกหลานไปยังญาติผู้ใหญ่ โดยมีกิจกรรมฉลองปีใหม่แบบไทยๆ มากมายหลายกิจกรรม บางอย่างก็แตกต่างกันไปตามท้องถิ่นแต่ละภูมิภาค แต่กิจกรรมหลักๆ ที่คล้ายกันทุกภูมิภาค ได้แก่
1. ทำบุญตักบาตร ในวันมหาสงกรานต์
ประชาชนจะลุกขึ้นมาแต่เช้ามืดมาปรุงและจัดเตรียมสำรับอาหาร เพื่อนำไปตักบาตรถวายพระ พอจัดเตรียมอาหารเสร็จก็จะบรรจงลงภาชนะอย่างพิถีพิถัน เรียงลงในถาด เพื่อนำไปทำบุญตักบาตรและเลี้ยงพระประจำหมู่บ้านของตน แต่ละคนจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่สวยงาม สะอาด เรียบร้อยมิดชิดเหมาะแก่การไปทำบุญที่วัด
2. สรงน้ำ รดน้ำดำหัว และเล่นน้ำ "สงกรานต์"
อีกหนึ่งกิจกรรมที่คนไทยปฏิบัติสืบตือกันมาก็คือ การสรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ เล่นสาดน้ำ เตือนอีกครั้งว่า ปีนี้ 2563 ทางการมีคำสั่งงดการจัดกิจกรรมสงกรานต์ทุกระดับ งดการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ (แต่ไหว้ขอพรได้โดยเว้นระยะห่างกัน 2 เมตร) และงดเล่นสาดน้ำสงกรานต์ทั่วประเทศ!!
แต่ยังสามารถสรงน้ำพระที่บ้านได้ โดยตามความเชื่อของคนไทยเกี่ยวกับการ "สรงน้ำพระพุทธรูป" นั้น จะต้องเตรียมดอกไม้ ธูปเทียน ไปบูชาพระที่หิ้งพระที่บ้าน แล้วเอาน้ำอบไปประพรมที่องค์พระ ซึ่งพิธีนี้สะท้อนนัยยะว่าเป็นการแสดงความเคารพบูชาต่อพระพุทธศาสนาในวันขึ้นปีใหม่ไทย ส่วนการ "รดน้ำญาติผู้ใหญ่" หรือผู้ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ มีความหมายว่าเป็นการไหว้แสดงความกตัญญู ขอขมา และเป็นการขอพรตามประเพณี
3. ก่อพระเจดีย์ทราย ขนทรายเข้าวัด
ในสมัยก่อนมีความเชื่อกันว่าหลังจากที่เรามาทำบุญที่วัดแล้วแล้วเวลาเดินออกจากวัดจะมีเม็ดทรายติดเท้าออกไปด้วย ถือเป็นการเอาของๆ วัดออกไป ต้องเอามาคืน ดังนั้นเพื่อเป็นการนำทรายหรือดินที่ติดเท้าออกไปมาคืนวัดจึงเกิดประเพณี "การขนทรายเข้าวัด" และ "การก่อพระเจดีย์ทราย" นั้นเอง และกิจกรรมนี้ยังถือเป็นกุศโลบายเพื่อสร้างความสามัคคีกลมเกลียวกันของคนในชุมชน
อ่านเพิ่มเติม : ฉลอง ‘สงกรานต์’ ยังไงในช่วง ‘โควิด-19’ รวมไอเดียมาให้แล้วที่นี่!
อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่าเทศกาล "สงกรานต์" มาพร้อมกับวันสำคัญต่างๆ มากมาย เริ่มจาก วันที่ 13 เมษายน ถือเป็นวันมหาสงกรานต์และเป็นวันผู้สูงอายุ รวมอยู่ในวันเดียวกัน โดยรัฐบาลกำหนดให้วันที่ 13 เมษายนเป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติ เพื่อให้ลูกหลานได้เล็งเห็นความสำคัญของผู้สูงอายุ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นบุพการี ผู้อาวุโสหรือผู้ใหญ่ในชุมชนที่เคยทำคุณประโยชน์แก่สังคมมาแล้ว
สำหรับที่มาของ "วันผู้สูงอายุ" นั้นเริ่มต้นขึ้นในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ในสมัยนั้นได้มีการกำหนดนโยบายที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี มีคุณภาพ และดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข โดยได้มอบให้กรมประชาสงเคราะห์จัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชราขึ้นในปี 2496 เพื่อให้การสงเคราะห์ผู้สูงอายุที่เดือดร้อน ประสบปัญหาในการทำมาหากินและไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้
ต่อมาในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็มีการสานต่อความสำคัญของ "วันผู้สูงอายุ" โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2525 อนุมัติให้วันที่ 13 เมษายนของทุกปีเป็นวันผู้สูงอายุ และได้เลือก "ดอกลำดวน" เป็นสัญลักษณ์ของผู้สูงอายุ เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่ให้ความร่มเย็น ลำต้นมีอายุยืน มีใบเขียวตลอดปี ให้ร่มเงาดีและดอกมีสีนวล กลิ่นหอม กลีบแข็งไม่ร่วงง่าย เปรียบเหมือนผู้สูงอายุซึ่งเป็นผู้ทรงวัยวุฒิที่คงคุณธรรมความดีงามไว้เป็นแบบอย่างแก่ลูกหลานตลอดไป
ถัดมาอีกหนึ่งวันก็คือ วันที่ 14 เมษายน รัฐบาลกำหนดให้เป็น “วันครอบครัว” ของทุกปี เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงคุณค่าของสถาบันครอบครัว และใช้เวลาว่างในวันหยุดยาวช่วงเทศกาล "สงกรานต์" ให้สมาชิกในครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้าและทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน เป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว และสร้างความรักความอบอุ่นในครอบครัว อีกทั้งช่วงเทศกาลสงกรานต์ถือเป็นโอกาสที่ประชาชนจะได้เดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อรวมญาติ พบปะครอบครัว ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับบุพการีที่ล่วงลับไปแล้ว รดน้ำดำหัวขอพรผู้เฒ่าผู้แก่ เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล ความอบอุ่น และความสุขของครอบครัวตามประเพณีไทยที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา
สำหรับที่มาของ “วันครอบครัว” นั้น เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2532 คณะรัฐมนตรีซึ่งมีพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เสนอมติโดยคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นผู้เสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยและอนุมัติให้ วันที่ 14 เมษายน ของทุกปี เป็นวันแห่งครอบครัว ซึ่งตรงกับวันสงกรานต์ของไทย เพราะโดยส่วนใหญ่ในวันนี้เป็นวันที่สมาชิกในครอบครัวมีโอกาสพบปะกันได้โดยสะดวก
ส่วนวันที่ 15 เมษายน จะเรียกว่าเป็น “วันเถลิงศก” ถือว่าเป็นวันเริ่มจุลศักราชใหม่ หรือวันปีใหม่ไทยที่นับตามแบบสมัยโบราณนั่นเอง ส่วนใหญ่คนไทยจะนิยมไปเที่ยวกับครอยบครัวหรือฉลองปีใหม่กันที่บ้านด้วยการทำกับข้าว กินข้าวมื้อใหญ่ร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตา และมีเคล็ดว่าทุกคนต้องสวมใส่เสื้อผ้าใหม่หรือมีของใช้ส่วนตัวชิ้นใหม่ๆ อย่างน้อย 1 ชิ้นเพื่อเป็นการเสริมสิริมงคลต้อนรับปีใหม่นั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก:https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/875735